Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
ฮีทสโตรก เกิดได้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยง
ฮีทสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด ภัยร้ายช่วงหน้าร้อน
ฮีทสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด คือ โรคอันตรายที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าร้อน โดยเกิดจากที่อยู่ท่ามกลางอากาศร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดภาวะร่างกายมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เมื่อเกิดอาการควรได้รับการรักษาในทันที เพราะอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อหัวใจ สมอง ไต และกล้ามเนื้อ หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า อาจทำให้อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ประเภทของฮีทสโตรก
- โรคลมแดดที่เกิดจากการออกกำลัง (Exertional heatstroke) เกิดจากการออกกําลังกายอย่างหนักในสภาพอากาศร้อน
- โรคลมแดดที่ไม่ได้เกิดจากการออกกำลัง (Nonexertional or classic heatstroke) เกิดจากการที่ต้องอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้นเป็นเป็นเวลานาน ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังมักจะไวต่อการเป็นโรคลมแดดประเภทนี้
ฮีทสโตรก มีอาการแบบไหนและมีสาเหตุมาจากอะไร
อาการของโรคลมแดด
- เมื่ออุณหภูมิร่างกายที่วัดจากภายในร่างกาย เช่น ผ่านทางทวารหนักสูงตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- พฤติกรรมหรือสภาพจิตใจเปลี่ยนไป เช่น สับสนเฉียบพลัน หงุดหงิดฉุนเฉียว พูดไม่รู้เรื่อง เพ้อ ชัก หรือโคม่า
- หากเป็นโรคลมแดดจากอากาศร้อน ผิวจะแห้งและร้อน
- หากเป็นโรคลมแดดจากการออกกําลังกายอย่างหนัก ผิวจะแห้งและชื้นเล็กน้อย
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ผิวหนังแดงขึ้น
- หัวใจเต้นเร็ว หายใจหอบถี่
- ปวดหัวตุบๆ
สาเหตุของโรคลมแดด
- อากาศร้อนชื้น
- ออกกําลังกายหรือใช้แรงมากขณะที่อยู่ในสภาพอากาศร้อน
- สวมเสื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศหรือหนา ทำให้เหงื่อไม่สามารถระเหยออกได้ อุณหภูมิของร่างกายจึงไม่สูงขึ้น
- ดื่มน้ำน้อย
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะไปรบกวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ควรไปพบแพทย์เมื่อใด
เมื่อพบคนที่เป็นลมแดด หรือสงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะที่คล้ายเป็นโรคลมแดด ควรโทรติดต่อเบอร์ฉุกเฉิน 1669 เพื่อเรียกรถพยาบาลและกู้ภัย ขณะที่รอความช่วยเหลืออยู่นั้น ควรทำให้อุณหภูมิร่างกายของผู้ที่เป็นลมแดดเย็นลงโดยทันที โดยการพาเข้าที่ร่มหรือด้านในตึก หากสวมเสื้อหลายชั้นควรถอดเสื้อชั้นนอกออก ใช้น้ำแข็งประคบหรือวางผ้าชุบน้ำลงบนศีรษะ คอ รักแร้ และขาหนีบ หรือฉีดน้ำรดตัว หรือนำผู้ป่วยลงแช่น้ำเย็น
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดฮีทสโตรก
- อายุ ในเด็กเล็ก ระบบประสาทส่วนกลางยังพัฒนาไม่เต็มที่ และในผู้สูงอายุ ระบบประสาทส่วนกลางเริ่มเสื่อม อีกทั้งยังเป็นวัยที่มักไม่ค่อยดื่มน้ำหากไม่มีใครเตือน จึงทำให้คน 2 วัยนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคลมแดดมากกว่าคนวัยอื่น
- สัมผัสกับอากาศร้อนหรือแสงแดดแรงอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศร้อน
- การออกกําลังกายที่ต้องใช้กําลังมากเป็นเวลานาน เช่น การวิ่งมาราธอน การเล่นฟุตบอล และการฝึกทหาร
- ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว ยารักษาความดัน (beta-blockers) ยาต้านเศร้า หรือยาสำหรับผู้ที่มีสมาธิสั้น
- มีประวัติเป็นโรคลมแดดหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน
การป้องกันฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด
สามารถป้องกันได้ โดยสามารถอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนได้อย่างปลอดภัยหากทําตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่บริเวณอากาศร้อนจนเกินไป โดยเฉพาะหากเกิน 40 องศาเซลเซียส
- ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป สวมหมวกปีกกว้าง และแว่นกันแดด ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหรือถี่กว่านั้นหากเหงื่อออกหรือว่ายน้ำ
- สวมเสื้อผ้าที่เนื้อผ้าเบาบาง ระบายอากาศได้ดี และไม่รัด
- ดื่มน้ำบ่อยๆ
- งดทํากิจกรรมหนัก ๆ หรือออกกําลังกายในสภาพอากาศร้อน ถ้าเป็นไปได้ควรออกกำลังกายในตอนเช้าตรู่หรือตอนเย็นแทน
- หากเพิ่งเดินทางไปถึงประเทศที่มีอากาศร้อนจัด ควรใช้เวลาอยู่กลางแจ้งน้อย ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศร้อนมีแนวโน้มที่จะป่วยจากอากาศร้อน
- ไม่ปล่อยให้เด็กหรือสัตว์เลี้ยงอยู่ในรถที่จอดทิ้งไว้ในที่ที่อากาศร้อนเพราะอุณหภูมิในรถอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 11 องศาเซลเซียสภายใน 10 นาที การจอดรถในที่ร่มหรือเปิดหน้าต่างรถไม่ช่วยให้ไม่เป็นโรคลมแดด
- ระมัดระวังหากกําลังรับประทานยาบางชนิดหรือมีโรคประจำตัวที่อาจไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการโรคลมแดด
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นฮีทสโตรก Heat Stroke
- เด็ก ,ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
- คนที่ทำงานในที่อากาศร้อนชื้น
- ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก ๆ ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัด หรือนักกีฬาสมัครเล่น
- ทหารผู้ที่ไม่ได้เตรียมร่างกาย เมื่อต้องเข้ารับการฝึก
- ผู้ที่ดื่มเหล้าจัด
การตรวจวินิจฉัย และการรักษาฮีทสโตรกหรือโรคลมแดด
โรคลมแดดมักจะแสดงอาการชัดเจน แต่แพทย์อาจให้ตรวจเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความเสียหายของอวัยวะและตัดสาเหตุอื่น ๆ ทิ้ง
- การวัดอุณหภูมิร่างกายทางทวารหนัก เป็นวิธีที่แม่นยำกว่าการวัดอุณหภูมิทางปากและหน้าผาก
- การตรวจเลือด เพื่อประเมินความเสียหายของอวัยวะภายในโดยการตรวจสอบระดับก๊าซในเลือด รวมถึงสารเกลือแร่ในเลือด ค่าตับ ไต การวัดการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น
- การตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจว่าไตและกล้ามเนื้อมีความเสียหายหรือไม่ อาการป่วยจากอากาศร้อนมักจะทําให้ปัสสาวะมีสีเข้มขึ้น
- การตรวจกล้ามเนื้อ เพื่อดูว่ามีภาวะกล้ามเนื้อสลายหรือกล้ามเนื้อได้รับความเสียหายหรือไม่
- การตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายสมอง ถ้าสงสัยว่าอาการที่เป็น เกิดจากภาวะอื่นของสมอง
การรักษาโรคลมแดด
แพทย์จะทำการลดอุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยเพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดต่อสมองและอวัยวะสําคัญ
- การแช่น้ำเย็นเพื่อลดอุณหภูมิและลดความเสี่ยงที่อวัยวะจะได้รับความเสียหายหรือเสียชีวิต
- เทคนิคการระบายความร้อนลดอุณหภูมิ ด้วยการพ่นละอองน้ำเย็นลงบนร่างกายขณะที่เป่าลมจากพัดลมเพื่อทำให้เกิดการระเหยที่เร็วขึ้นและทำให้ผิวเย็นลง
- การใช้ผ้าห่อน้ำแข็งห่มตัวและประคบน้ำแข็งลงบนคอ หลัง รักแร้ และขาหนีบ
- แพทย์อาจให้รับประทานยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ผู้ป่วยหยุดสั่นจากการลดอุณหภูมิร่างกายโดยวิธีข้างต้น เพราะการที่ร่างกายสั่นจะทำให้อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้น ทำให้การรักษาที่ทำไปแล้วนั้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร
การรักษาตัวเองที่บ้าน
หากเป็นลมแดด ควรโทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน เพราะการพยายามลดอุณหภูมิร่างกายเองนั้นอาจไม่สำเร็จ ระหว่างรอความช่วยเหลือนั้น ผู้ป่วยไม่ควรดื่มน้ำ หากเริ่มมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายตัวจากอากาศร้อน ซึ่งยังไม่นับเป็นภาวะฉุกเฉิน ควรพยายามลดอุณหภูมิของร่างกายเพื่อป้องกันไม่ให้อาการเป็นมากกว่าเดิม โดยทำได้ตามวิธีดังนี้
- ลดอุณหภูมิของร่างกายด้วยการเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาด ฉีดน้ำเย็นรดตัว ร่วมกับใช้พัดหรือพัดลม
- อาบน้ำฝักบัวหรือแช่น้ำเย็น หากอยู่กลางแจ้งอาจแช่ตัวในลําธารหรือแม่น้ำ
- นั่งในที่ร่ม หรือสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศ เช่น ห้างสรรพสินค้า
- ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มผสมเกลือแร่เพื่อชดเชยเกลือและน้ำที่สูญเสียไป
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นจัดเพราะอาจทําให้ปวดท้อง และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะไปรบกวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
อาการของโรคลมแดด (Heat Stroke) ในสัตว์เลี้ยง
- อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 41 องศาเซลเซียส หรือ 106 องศาฟาเรนไฮต์
- มีอาการหอบ หายใจเร็ว หายใจลำบาก หรือหายใจรุนแรงกว่าปกติ
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติหรือเต้นผิดจังหวะ
- น้ำลายไหล จมูกและปากเปียก
- เหงือกสีแดงเข้ม
- มีอาการชัก กล้ามเนื้อสั่นเกร็ง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
วิธีการปฐมพยาบาลโรคลมแดด (Heat Stroke) ในสัตว์เลี้ยงเบื้องต้น
การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้เมื่อสัตว์เลี้ยงเป็นโรคลมแดด สิ่งสำคัญคือการทำให้อุณหภูมิร่างกายของสัตว์ลดลงแต่อย่าให้ลดลงเร็วจนเกินไป โดยควรปฏิบัติ ดังนี้
- ถ้าสัตว์เลี้ยงของเราอยู่ในที่อากาศร้อน แออัด ให้นำน้องมาอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกทันที จากนั้นถอดเสื้อผ้าหรือปลอกคอที่ทำให้สัตว์อึดอัดออก
- ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว รวมถึงเช็ดใต้ฝ่าเท้า รักแร้ และขาหนีบ เพื่อช่วยระบายความร้อนควรใช้น้ำอุณหภูมิห้องในการเช็ด ไม่ควรใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำที่อุ่นเกินไป เพราะสัตว์อาจเกิดภาวะช็อคได้
- นวดบริเวณขาเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
เมื่อปฐมพยาบาลเสร็จควรรีบนำสัตว์เลี้ยงไปโรงพยาบาลเพื่อให้สัตวแพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างละเอียด และห้ามให้ยาโดยไม่ได้รับการพิจารณาจากสัตวแพทย์เด็ดขาด
วิธีป้องกันโรคลมแดด (Heat Stroke) ในสัตว์เลี้ยง
อาการฮีทสโตรก (Heat Stroke) มักเกิดในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดและมีความชื้นสูง เจ้าของต้องคอยสังเกตอาการสัตว์เลี้ยงของตนเองบ่อยๆ เวลาเขาวิ่งเล่นหรือออกกำลังกาย หากสุนัขดูหอบมากกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณเริ่มแรกของฮีทสโตรก ควรหลีกเลี่ยงการให้สัตว์เลี้ยงไปอยู่ในบริเวณที่อากาศร้อนและอากาศถ่ายเทไม่ดี และวางน้ำไว้ให้สัตว์ได้กินตลอดเวลา อาจจะเพิ่มน้ำแข็งสักก้อนให้เขาได้เลียคลายความร้อน
ฮีทสโตรกเป็นภัยเงียบที่น่ากลัวสำหรับสัตว์เลี้ยงมากๆ เพราะประเทศไทยอากาศร้อนตลอดเวลา โรคลมแดดเลยมีโอกาสเกิดขึ้นกับน้องสัตว์ได้เสมอ ดังนั้นเจ้าของควรใส่ใจและสังเกตอาการ หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับสัตว์ที่เราเลี้ยงควรรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วพามาพบสัตว์แพทย์ทันที
หากพบผู้มี “อาการโรคลมแดด” ขอให้รีบนำเข้าที่ร่มอากาศถ่ายเทได้สะดวก ให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูง เพื่อเพิ่มการไหลเวียน ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นใน ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น น้ำแข็งประคบตามซอกคอ หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบร่วมกับใช้พัดลมเป่า เพื่อระบายความร้อนและลดอุณหภมิร่างกายให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่สุด หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ที่มา
- https://www.medparkhospital.com/content/heatstroke
- https://www.talingchanpet.net/
- https://www.istockphoto.com/1325895908-410769550
- https://www.istockphoto.com/1155214701-314421490
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ ufabet1995.net
สนับสนุโดย ufabet369
Economy
-
สิทธิของผู้ใช้ บริการทางการเงิน
ในการใช้ บริการทางการเงิน เช่น การฝาก-ถอนเงิน การขอสินเชื่อ และธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ นอกจากเราที่เป็นผู้ใช้บริการหรือลูกค้าควรมีความรู้และความเข้าใจในลักษณะของบริการที่สนใจหรือกำลังใช้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นก็คือความรู้และความเข้าใจในสิทธิของตนเอง มาดูกันว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใช้บริการทางการเงินมีอะไรบ้าง
สิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องของผู้ใช้ บริการทางการเงิน (Right to be informed)
ในการเข้าไปใช้บริการของสถาบันการเงิน การได้รับข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินต้องอธิบายเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ลูกค้าทราบอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง เช่น ความแตกต่างระหว่างบริการเงินฝากกับผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ เงินฝากกับตั๋วแลกเงิน ผลประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท สิทธิและข้อผูกพันตามสัญญา รวมถึงการใช้สื่อเพื่อส่งเสริมการขายที่ต้องไม่ชวนเชื่อเกินจริงไม่ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสำคัญที่เราต้องใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการแต่ละประเภท คือ อัตราดอกเบี้ย ส่วนลด ค่าบริการต่างๆ รวมทั้งเบี้ยปรับที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้ทำตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเราสามารถสอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันการเงินตามช่องทางต่าง ๆ เช่น ถามพนักงาน ดูจากประกาศที่ติดไว้ทั้งที่สำนักงานใหญ่และสาขาที่ทำการ และเว็บไซต์ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
สิทธิที่จะเลือกใช้บริการได้อย่างอิสระของผู้ใช้ บริการทางการเงิน (Right to choose)
ในฐานะเจ้าของเงินซึ่งเป็นทั้งผู้รับและเสียผลประโยชน์โดยตรง เราควรเลือกใช้บริการทางการเงินที่ต้องการจริง ๆ เท่านั้น ที่สำคัญอย่าลืมว่าลูกค้าอย่างเรามีอิสระในการเลือกใช้บริการ เช่น เลือกที่จะทำบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต หรือไม่ทำบัตรใด ๆ ก็ได้ถ้าไม่ต้องการเมื่อเปิดบัญชีเงินฝาก ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อประกันชีวิตที่สถาบันการเงินนั้นเป็นนายหน้าจำหน่ายหรือต้องฝากเงินในจำนวนสูง ๆ หากต้องการเช่าตู้นิรภัย อีกอย่างหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อย ๆ ก็คือ บางคนตัดสินใจใช้บริการทางการเงินทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่ได้อยากใช้แค่เพราะรู้สึกสงสารหรือเกรงใจพนักงาน เช่น ช่วยซื้อประกันชีวิตเพื่อให้พนักงานมียอดขายถึงเป้า ทั้ง ๆ ที่มีกรมธรรม์คุ้มครองเพียงพอแล้ว การช่วยกันเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องทำให้พอดี อย่าให้เข้าทำนอง “เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด” จะดีกว่า
สิทธิที่จะร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม (Right to be heard)
หากพบว่าสถาบันการเงินปฏิบัติกับเราไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม เช่น ให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน บังคับขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เงินฝากในบัญชีสูญหาย ให้รีบแจ้งต่อหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนของสถาบันการเงินแห่งนั้น เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องให้หลักฐานที่แสดงว่าได้รับเรื่องร้องเรียนของเราไว้แล้ว และจะต้องแจ้งผลการดำเนินการให้ทราบในเวลาที่เหมาะสมด้วย แต่ถ้ายังไม่ได้รับการติดตามแก้ไขปัญหาให้เท่าที่ควร เราสามารถติดต่อร้องเรียนและขอคำปรึกษาปัญหาทางการเงินได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213 หรือช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาค่าชดเชยหากเกิดความเสียหาย (Right to redress)
หากได้รับความเสียหายจากการใช้บริการของสถาบันการเงิน เช่น ระบบไม่ตัดเงินจากบัญชีเพื่อชำระยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตทำให้มีหนี้ค้างชำระ กดเงินจากตู้เอทีเอ็มแต่ไม่ได้รับเงิน เจ้าหน้าที่ขโมยเงินจากบัญชี และธุรกรรมทางการเงินในลักษณะอื่น ๆ ซึ่งหากมีการพิสูจน์หรือตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่าเกิดจากความผิดพลาดของสถาบันการเงินเอง หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้เกิดความเสียหาย เราก็มีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยความเสียหายนั้น ซึ่งสถาบันการเงินต้องแจ้งผลการดำเนินงานและกระบวนการพิจารณาการชดเชยความเสียหายให้เราทราบด้วย อย่างไรก็ตาม หากเป็นความผิดพลาดของเราเองสถาบันการเงินก็ไม่จำเป็นต้องชดใช้ความเสียหายให้ เช่น โอนเงินจากตู้เอทีเอ็มไปผิดบัญชีหรือใส่จำนวนเงินผิด
สิทธิของผู้มีประวัติในเครดิตบูโร
เมื่อเราได้รับสินเชื่อหรือบัตรเครดิตจากธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต บริษัทเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง หรือสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร ข้อมูลของเรา เช่น ชื่อ ที่อยู่ (ยกเว้นหมายเลขโทรศัพท์) เลขบัตรประจำตัวประชาชน ประวัติการชำระหนี้ สินเชื่อหรือบัตรเครดิต ฯลฯ จะถูกส่งมาจัดเก็บ รวบรวมไว้ที่เครดิตบูโรตามที่กฎหมายกำหนด ประวัติที่เก็บนั้นจะมีทั้งประวัติการชำระหนี้ที่ตรงตามกำหนดและประวัติการค้างชำระหนี้ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเราในฐานะที่เป็นผู้ถูกเก็บข้อมูล (เรียกในทางกฎหมายว่าเจ้าของข้อมูล) มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ดังนี้
- สิทธิเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล
เครดิตบูโรจะเปิดเผยข้อมูลของเราได้เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้
1.1 เมื่อเราอนุญาตให้เครดิตบูโรเปิดเผยแก่ธนาคาร บริษัทบัตรเครดิต บริษัทเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง หรือสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโรที่เราไปขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตกับสถาบันการเงินนั้น ในทางปฏิบัติเราจะเซ็นชื่อในหนังสือให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลพร้อมกับใบสมัครสินเชื่อ
1.2 เมื่อกฎหมายอนุญาตหรือกำหนดไว้ เช่น การเปิดเผยข้อมูลตามคำสั่งศาล พนักงานสอบสวน กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และในบางกรณี เมื่อเปิดเผยข้อมูลของเราแล้ว เครดิตบูโรจะต้องมีหนังสือแจ้งให้เราทราบภายในสามสิบวันว่ามีการเปิดเผยข้อมูลของเรา
- สิทธิที่จะรู้ว่าเครดิตบูโรเก็บรักษาข้อมูลอะไรของเราบ้าง
ซึ่งเราในฐานะเจ้าของข้อมูลตามกฎหมายสามารถขอดูและตรวจสอบความถูกต้องได้ และหากพบว่าข้อมูลที่จัดเก็บนั้นไม่ถูกต้อง เราก็มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งและขอแก้ไขให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ เช่น ชื่อ-นามสกุลไม่ถูกต้อง วัน เดือน ปีเกิด ไม่ถูกต้อง ประวัติการชำระหนี้หากมีหลักฐานแล้วว่ามีการชำระหนี้จริงแต่ประวัติที่ตรวจสอบไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเราสามารถแจ้งให้แก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ทั้งที่เครดิตบูโร หรือแจ้งแก้ไขที่สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร (ซึ่งเรามีสินเชื่อหรือบัตรเครดิต กับสถาบันการเงินนั้น)
- สิทธิในการขอให้เครดิตบูโรบันทึกข้อโต้แย้งถึงความไม่ถูกต้องของข้อมูลไว้ในบัญชีสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีปัญหากับสถาบันการเงินและหาข้อยุติกันไม่ได้
- เมื่อเราขอบันทึกข้อโต้แย้งไว้แล้วเรามีสิทธิอุทธรณ์ข้อโต้แย้งนั้นต่อคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต
ซึ่งอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องความถูกต้องของข้อมูลได้ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่บันทึกข้อโต้แย้ง
- ถ้าสถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อ/บัตรเครดิตให้เราเพราะข้อมูลเครดิตของเรา เขาต้องออกเป็นเอกสารหนังสือปฏิเสธสินเชื่อให้เราเท่านั้น
จะอ้างเป็นคำพูดลอย ๆ ว่าติดเครดิตบูโร หรือบอกว่าติดแบล็คลิสต์ หรือใช้ SMS แจ้งไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เราถือเอกสารหนังสือนั้นมาตรวจสอบข้อมูลของเราที่เครดิตบูโรได้ฟรี ตัวเราจะได้ทราบว่าเพราะอะไรหรือมีอะไรในประวัติของเรา ที่สถาบันการเงินระบุว่าเป็นสาเหตุที่ไม่อนุมัติสินเชื่อ/บัตรเครดิตให้เรา ในทางปฏิบัติเครดิตบูโร จะดำเนินการสอบถามความถูกต้องของข้อมูลไปยังสถาบันการเงินที่เราเป็นลูกค้าว่า ข้อมูลที่ส่งมานั้นตรงกับข้อเท็จจริงกับที่ลูกค้ามีหรือไม่ เช่น ในหนังสือปฏิเสธสินเชื่อบอกว่า ในเดือนปัจจุบันเรายังค้างชำระอยู่ แต่ในข้อเท็จจริงในเดือนเดียวกันนั้นเราได้มีการชำระหนี้ปิดบัญชีไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น หากข้อมูลไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เครดิตบูโรยืนยันว่าข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้นจะได้รับการแก้ไข ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลที่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องนั้นไปขอสินเชื่อใหม่อีกครั้งได้
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
Andy Murray ได้รับการฟื้นคืนที่น่าประทับใจ อดีตนักเทนนิส
วิธีปลดล็อก Chocobo Riding Final Fantasy 16
“เซห์ร่า กูเนส” สื่อนอกยกสวยสุดนักตบลูกยาง
มันทรงพลังที่สุดในฐานะประสบการณ์แบบโต้ตอบ
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.ufabet1995.net/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา www.bot.or.th